ท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลที่มีเพียงแสงจันทร์คอยนำทาง สายลมหอบกลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูก และแว่วเสียงอื้ออึงกรีดร้อง รวมไปถึงเสียงโลหะกระทบกันที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวเลยสักนิด
“บานาเระนาไซ”
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นบ่งบอกได้ถึงอำนาจและทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือ ‘คำสั่งเด็ดขาด’ ที่บอกให้ผมหนีไป
การหนีเอาตัวรอดเมื่อเกิดปัญหาไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชายแบบผมเลยสักนิด และผมก็มั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้พึงใจที่จะทำแบบนี้แม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะความจำเป็นบางอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ในเวลานี้ผมคงจะถือดาบอย่างสมเกียรติชายชาตินักรบอย่างแน่นอน
ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทที่ผมไม่เคยจะเข้าใจความหมายได้เลยสักครั้ง
“คิมิโวะ มิทซุเคะรุ”
ถ้าการที่คนตรงหน้าบอกให้ผมหนีไปคือคำสั่ง ผมก็จะสั่งให้คนตรงหน้า ‘ตามหาผมให้เจอ’ เช่นกัน แต่ก็มีแค่เพียงความว่างเปล่าและความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“อิทซุมาเดะโมะ อะนาตะฮะ วะตาชิ โวะ มิทซุเคะดะดะชิเตะกุดะไซ”
ไม่ว่านานแค่ไหน ท่านจะต้องหาข้าให้เจอ..
นี่ไม่ใช่คำขอร้อง และไม่ใช่คำสั่ง ทว่ามันเป็น ‘คำอธิษฐาน’ ของผม คำอธิษฐานที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยินและรู้ดีว่าไม่มีวันที่มันจะเป็นจริง
สายลมในค่ำคืนที่แสงจันทร์ดั่งสีเลือดเย็นยะเยือกราวกับจะตัดขั้วหัวใจอันแข็งแกร่งของผมให้ขาดรอนได้ในฉับพลัน แต่เสี้ยววินาทีถัดมาผมก็หันหลังก้าวขาวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีกเลย
จวบจนนานแสนนาน...
“ซัดโตะ อะนาตะ โวะ มัตเตะรุ”
ข้าจะรอท่าน